มาสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้ลูก ๆ กันเถอะ
> ยอร์จ ฟรีดแมน ผู้เขียนหนังสือขายดีระดับโลก The Next 100 Years : A Forecast for the 21st Century เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า โลกอนาคตจะเผชิญหน้ากับปัญหาความขัดแย้งในเรื่องความหลากหลายของวัฒนธรรม และวิธีคิดที่แตกต่างกันของคนมากขึ้น
เพราะการไปมาหาสู่กัน การติดต่อสื่อสารระหว่างกันจะมีความสะดวกและรวดเร็วกว่าในปัจจุบัน เป็นเหตุให้วัฒนธรรมทั้งหลายรวมทั้งหลักคิดที่แตกต่างเกิดการไหลบ่าเข้าหา กันมากขึ้น และก็มีโอกาสที่จะทำให้เจ้าของวัฒนธรรมหรือสำนักความคิดต่างๆ เกิดความรู้สึกว่า วัฒนธรรมหรือหลักคิดของตนเองถูกคุกคาม ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการต่อต้านขึ้น และการต่อต้านบางทีอาจรุนแรง จนถึงขั้นกลายเป็นชนวนแห่งสงครามได้
สิ่งที่ ยอร์จ ฟรีดแมน คาดการณ์เอาไว้กำลังจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยของเราภายในปี 2558 หรืออีก 4 ปีข้างหน้านี่เอง
เราจึงมีเวลาเพียงแค่ 4 ปี ในการสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้กับลูกหลาน (และรวมทั้งตัวเราเองด้วย)
สิ่งที่จะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับลูกหลานของเรานั้นมีอยู่ 4 เรื่อง
เรื่องแรก เราต้องสร้างให้เขาเป็น คนสู้ชีวิต ล้มแล้วลุกได้ สามารถมองเห็นโอกาสในวิกฤติของชีวิตเสมอ หรือ Resilience ในคำภาษาอังกฤษ เพื่อที่เขาจะได้สามารถยืนหยัดต่อความผันผวนของชีวิตได้
เรื่องที่สอง เราต้องปลูกฝัง คุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือ Humanity ให้กับเขา นั่นคือทำให้เขาเป็นคนที่รักและเคารพในความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ให้เขาได้แบ่งปันแก่ผู้อื่นและสังคมบ้าง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ให้เขาเอาเปรียบและเห็นแก่ตัว ให้มองความแตกต่างที่เป็นอยู่ของทุกอย่าง เป็นความปกติของโลก ยอมรับความแตกต่างของบุคคล ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ให้เกียรติผู้อื่นที่อวุโสกว่าและรู้จักบุญคุณของผู้ให้ และสร้างสรรค์ เพราะด้วยความเป็นมนุษย์ของทุกคนเท่านั้น ที่จะช่วยป้องกันโลกนี้อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขและให้พ้นจากการสงครามและฆ่ากันเอง
เรื่องที่สาม เขาต้องมี ความคิดสร้างสรรค์ หรือ Creativity สามารถที่จะเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาเพื่อค้นหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต เพราะความรู้ใหม่ความคิดใหม่คือทรัพย์สินอันมีค่าสำหรับโลกอนาคต
เรื่องสุดท้าย เขาต้องเป็น คนที่มีเพื่อน หรือมี Social Network เพราะการเผชิญปัญหาในโลกอนาคตจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี “กัลยาณมิตร” ปัญหาหลายอย่างมันจะซับซ้อนมากขึ้น ลำพังตัวเขาคนเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน
และนี่คือ “ภูมิคุ้มกันทางใจ” ที่เด็กๆ ลูกหลานของเราทุกๆ คนจะต้องมี เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันเขาให้ปลอดภัยจากปัญหาต่างๆ ที่พวกเขาจะต้องเผชิญในอนาคต
คุณพ่อคุณแม่หลายคนเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อาจรู้สึกหนักใจกว่าเดิม เพราะไม่รู้ว่าจะหา “วัคซีน” หรือวิธีการอะไรมาสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกได้ ไม่ต้องกลัวครับ งานวิจัยทางการแพทย์ใหม่ๆ ต่างยืนยันว่าวิธีการง่ายๆ ที่เราใช้ในการเลี้ยงลูกอยู่ทุกวันนั่นแหละ คือสิ่งที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้กับลูกของเรา แค่ทำความเข้าใจกับมันเพิ่มอีกหน่อยเท่านั้นเอง
ลองทำตามนี้ครับ
• เล่านิทานอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวันก่อนนอน
• ให้ลูกได้สัมผัสกับกิจกรรมดนตรี
• ใช้ศิลปะเข้ามาช่วย
• ปล่อยให้ลูกได้ “เล่นอย่างอิสระ” กับเพื่อนของเขา
• กอดลูก (ด้วยความรัก) ทุกวัน ฯลฯ
ถึงตอนนี้ คนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ “รักลูก” อาจร้องอ๋อขึ้นมาทันที เพราะนี่คือ “10 บัญญัติสมองดี” ของ “รักลูก” นั่นเอง
ลองค้นหาหนังสือเล็กๆ เล่มนี้ (ที่ได้รับแจกไปแล้ว) ขึ้นมาอ่านทบทวนอีกนะครับ แล้วจะพบว่าการฉีด “วัคซีนใจ” ให้ลูกนั้นไม่ยุ่งยากเลย
และเพื่อความขลังของ “วัคซีนใจ” อย่าลืมท่องคาถา “รัก เข้าใจ ปลูกฝังวินัย” กำกับการฉีดวัคซีนให้ไปลูกด้วยนะครับ
"อย่าลืมว่าลูก ๆ คือของขวัญและเกียรติยศ อันมีค่าของพ่อและแม่ทุกคน"
..ปล.ขอให้ลูก ๆ ทุกคนของคุณ ได้อ่านบทความนี้ร่วมกับคุณด้วยนะครับ..
